ตอนที่ ๓
การเสด็จประพาสต้นทอดพระเนตรเมืองสมุทรสงครามและวัดอัมพวันเจติยารามในคร้ังสุดท้ายนี้ ได้ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร คือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รับสั่งเล่าเรื่องการเสด็จพระราชดำเนินไว้อย่างน่าอ่าน ตอนหนึ่งทรงกล่าวถึงวัดอัมพวันเจติยาราม และเมืองสมุทรสงครามไว้ดังนี้:-
"วันที่ ๙ กันยายน ระยะทางวันนี้สั้น ออกเรือสายล่องลงมาถึงหน้าที่ว่าการเมืองสมุทรสงคราม พักทีแพตามเคย แล้วได้ลงเรือยนต์ออกไปดูที่ปากอ่าว แล้วแล่นกลับขึ้นมาเข้าไปดูคลองสุนัขหอนหน่อยหนึ่ง แล้วกลับแล่นขึ้นไปอัมพวา แวะเยี่ยมขุนวิชิตสมรรถการนายอำเภอ ซึ่งได้เคยปลอมไปบ้านเขาเมื่อมาเที่ยวครั้งก่อน แล้วล่องกลับไปเข้าคลองอัมพวา ประสงค์จะไปให้จนถึงวัดดาวโด่ง แต่เห็นคลองดาวโด่งแคบลงทุกทีกลัวจักกลับเรือไม่ได้ จึงได้ล่องกลับออกมาทางเดิม แวะกินน้ำชาที่บ้านชายบริพัตร (สมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต) ซึ่งตั้งอยู่ในคลองอัมพวาไมลึกเท่าใด แล้วจึงได้กลับมาเรือ วันนี้มียุงแต่ยังน้อยกว่ากรุงเทพฯ วันที่ ๑๐ กันยายน ลงเรือไปขึ้นที่วัดอัมพวันเจติยาราม พวกราชินิกุลมาคอยเฝ้าในที่นี้ วัดนี้ได้ลงมือปฎิสังขรณ์บ้างตั้งแต่มาคราวก่อน ไมใคร่กระเตื้องขึ้นได้ เหตุด้วยใหญ่โตมาก ไม่มีสมภารดีๆเหลือแต่พระอนุจรอยู่ ๖ รูป เสนาสนะทรุดโทรมทั่วไปทุกแห่ง การปฎิสังขรณ์ทำแต่เฉพาะพระอุโบสถ แต่คราวนี้เขาได้ถางที่ทั่วถึงแลเห็นขอบเขตวัด ซึ่งน่าจะมีราษฎรลุกเหลื่อมเข้ามาเสียมากแล้ว จนที่คอดๆกิ่วๆ ไม่เป็นเหลี่ยม แต่กระนั้นก็ยังใหญ่โตมาก เห็นว่าการซึ่งได้คิดอ่านสืบเสาะหาที่สวนเดิมของสมเด็จรพระรูปนั้น จะหาที่ไหนได้ คงจะได้รวมเข้าอยู่ในวัดนี้หมด จะไม่ใช่แต่เจ้าของเดียว จะพลอยศรัทธาตามเสด็จสมเด็จพระอมรินทร์ไปด้วยอีกมากเจ้าของด้วยกัน สิ่งปลูกสร้างจึงเที่ยวรายอยู่ในที่ต่างๆทั่วไป น่าจะเป็นว่าเดิมที่สำคัญตั้งพระอุโบสถขึ้นแล้ว ที่ใครมีอยู่ใกล้เคียงถวายเพิ่มเข้าอยู่ในวัด สร้างเป็นกุฎิบ้าง ศาลาบ้าง วิหารการเปรียญบ้าง รายกันไป ไม่ได้คิดวางแผนที่ในคร้ังเดียว มีจนกระทั่งยอดหลังคามุงกระเบื้องขนาดใหญ่ แต่อายุของงานที่ทำหรือปฎิสังขรณ์ย่อมต่างๆกัน ทรวงทรงพระอุโบสถเป็นอย่างแผ่นดินพระพุทธยอดฟ้า เทือกวัดสุวรรณดาราราม แต่พระประธานเป็นอย่างวัดอรุณ แต่เดี๋่ยวนี้ผิดพระเศียร น่าจะมีเหตแตกพังอย่างไรซ่อมขึ้นไม่เหมือนเก่า พระพักตร์เลวกว่าพระองค์ และซ้ำเลวกว่าพระสาวกไปด้วย ซุ้มเสมาเป็นของรัชกาลที่ ๔ทรงสร้าง พระวิหารและกุฎิใหญ๋เป็นฝีมือรัชกาลที่ ๓ พระปรางค์มีระเบียงล้อม รูปบานบนซึ่งแปลกไม่มีที่ไหนโตเท่านี้ ได้ออกเงินพระคลังข้างที่สำหรับปฎิสังขรณ์อีก ๔,๐๐๐ บาท และเรี่ยไรได้บ้าง เห็นว่าวัดอัมพวันเจติยารามนี้คงจะได้คิดจะให้เป็นคู่กันกับวัดสุวรรณดาราราม จึงได้ทรงบางอย่างทุกๆรัชกาลมา จะทิ้งให้สาปสูญเสียเห็นจะไม่ควร ข้อขัดข้องสำคัญนั้นคือ หาเจ้าอธิการไม่ได้ แต่ก่อน่มาเป็นวัดพระราชาคณะอยู่เสมอ แต่ได้โทรมเข้าเลยโทรมไม่ฟื้น เพราะไม่มีใครยอมไปอยู่ การที่ไม่ยอมไปอยู่น้ันเห็นจะเป็นด้วยปราศจากลาภผล ไม่เหมือนวัดบ้านแหลมและวัดพวงมาลัย ซึ่งได้ประโยชน์ในทางขลังต่างๆ แต่ด้วยเหตุที่ไม่มีสมภารดีนี้ จนราษฎรในคลองอัมพวาก็พากันเข้าไปทำบุญเสียที่วัดปากน้ำ ลึกเข้าไปข้างใน การที่จะแก้ไขไม่ให้ร้างไม่มีอย่างอื่น นอกจากหาสมภารที่ดีมาไว้
กลับจากวัดไปทำครัวเลี้ยงกลางวันกันที่บ้านชายบริพัตร บ้านนี้ทำเป็นเรือนอย่างไทย สองหลังแฝด และหอนั่งใหญ่มีชานแล่นตลอดเป็นที่สบายอย่างไทย ตกแต่งด้วยเครื่องเฟอร์นิเจอร์ไทยๆงามดี เลี้ยงกันแล้วได้ลงเรือพายไปตามคลองอัมพวา แวะวัดดาวดึงส์ที่เคยพักกินข้าวแต่ก่อน แล้วเข้าคลองดาวโด่งไป จนถึงวัดดาวโด่ง แวะที่วัดซึ่งได้เคยดูบวชนาคแต่ก่อน คิดจะไปบางใหญ่แต่เห็นจะไม่ทันด้วยเย็นเสียแล้ว จึงได้เลี้ยวลงทางคลองขวางไปออกคลองสุนัขหอน แล้วกลับเข้าคลองลัดจวนขึ้นมาออกปากคลองเหนือที่ว่าการ
เมืองสมุทรสงครามนี้ ท่วงทีภูมิฐานเหมือนอย่างกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตกแถบคลองบางใหญ่ บางคูเวียง มีทางทีจะเที่ยวซอกแซกได้มาก ถ้าจะลงเรือเล็กไปเที่ยวจะไปได้หลายวัน คนในพื้นเมืองมีความนิยมนับเจ้านาย และไว้ตัวเป็นที่สนิทสนมทั่วไป..." |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น